6 December 2003
ปราสาทบันทายสรี
(Banteay Srei) ซึ่งสร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าราเชนทรวรมัน
สร้างด้วยหินทรายสีชมพูแกะสลักภาพนูนต่ำอย่างงดงาม
ชมโคปุระหรือซุ้มประตูที่มีลวดลายที่สวยงามมาก
สลักเป็นรูปพระอิศวรทรงช้างเอราวัณในภาษาเขมรเรียกว่า "บันเตย์เสรย" แปลว่า
ป้อมสตรี ซึ่งทุกท่านจะได้ชมความงามในการแกะสลักหินรูปต่างๆ
ความสวยงามของปราสาทบันทายสรีนี้ ช่างในสมัยโบราณได้สร้างอย่างบรรจง และยังได้รวบรวมเอา ศิลปะในยุคเก่าหลายยุคหลายสมัย ไม่ว่าจะเป็นศิลปะแบบพระโค ศิลปะแบบบาแค็ง ศิลปะแบบเกาะแกร์และแปรรูป มาอนุรักษ์ไว้ ณ ปราสาทแห่งนี้ ดูได้จากเสาติดกับผนัง เสาประดับกรอบประตู ทับหลังและหน้าบัน ภาพเทวดาและเทพธิดาที่สลักอยู่ประจำผนังเทวลัย ก็มีลักษณะน่าชมมาก ตัวไม่ใหญ่โต แต่ดูอวบอิ่ม ประดับด้วยเครื่องถนิมพิมพาภรณ์ดูสวยงามมาก ยืนอยู่ในซุ้มเรือนแก้ว
ความสวยงามของปราสาทบันทายสรีนี้ ช่างในสมัยโบราณได้สร้างอย่างบรรจง และยังได้รวบรวมเอา ศิลปะในยุคเก่าหลายยุคหลายสมัย ไม่ว่าจะเป็นศิลปะแบบพระโค ศิลปะแบบบาแค็ง ศิลปะแบบเกาะแกร์และแปรรูป มาอนุรักษ์ไว้ ณ ปราสาทแห่งนี้ ดูได้จากเสาติดกับผนัง เสาประดับกรอบประตู ทับหลังและหน้าบัน ภาพเทวดาและเทพธิดาที่สลักอยู่ประจำผนังเทวลัย ก็มีลักษณะน่าชมมาก ตัวไม่ใหญ่โต แต่ดูอวบอิ่ม ประดับด้วยเครื่องถนิมพิมพาภรณ์ดูสวยงามมาก ยืนอยู่ในซุ้มเรือนแก้ว
ตามจารึกที่ปราสาทบันทายสรีกล่าวว่า ปราสาทแห่งนี้สร้างใน พ.ศ. 1510 โดยยัชญวราหะ ซึ่งเป็นพราหมณ์นักปราชญ์ เมื่อพระเจ้าราเชนทรวรมันที่ 2 เสด็จสวรรคต พระเจ้าชัยวรมันที่ 5 ซึ่งเป็นราชโอรสจึงขึ้นครองราชย์แทน เนื่องจากพระเจ้าชัยวรมันที่ 5 ยังทรงพระเยาว์อยู่ พราหมณ์ยัชญวราหะ จึงได้ทำหน้าที่เป็นทั้งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์และเป็นพระอาจารย์ให้กับ พระเจ้าชัยวรมันที่ 5 ไปพร้อมๆ กัน พราหมณ์ยัชญวราหะได้ทูลขอที่ดินแปลงหนึ่งจากพระเจ้าชัยวรมันที่ 5 เพื่อมาสร้างปราสาทเพื่อบูชาพระศิวะ และเป็นศูนย์รวมจิตใจของราษฎรและเป็นที่น่าสังเกตว่าปราสาทที่พระเจ้าแผ่น ดินสร้าง กับปราสาทที่เสนาบดีหรือข้าราชการชั้นสูงสร้างจะต่างกันที่ฐาน ปราสาทที่พระเจ้าแผ่นดินสร้าง จะสร้างอยู่บนฐานที่ทำเป็นชั้นสูง หรือสร้างบนเนินเขาดังเช่น นครวัด ที่ส่วนปรางค์ประธานจะต้องตั้งอยู่ฐานชั้นสูงหรือที่พนมบาแค็ง ที่ปราสาทสร้างอยู่บนเนินเขา สำหรับปราสาทบันทายสรี ผู้สร้างเป็นราชครู จึงต้องสร้างปราสาทบนเนินดินอาจทำเป็นฐานเตี้ยๆ ยกพื้นขึ้นเพื่อรองรับตัวปราสาทเท่านั้น
ภาพสลักพระ ศิวะนาฎราช เมื่อผ่านโคปุระซึ่งเป็นกรอบประตูมีความสูงประมาณ 2.50 เมตร ทางเข้าปูลาดด้วยหินทราย กว้างประมาณ 60 เซนติเมตร ยาวประมาณ 1 เมตร ไปตลอดแนวประมาณ 40 เมตร สองข้างทางมีเสานางเรียงสูงประมาณ 1.50 เมตร ไปจนถึงโคปุระชั้นใน ที่หน้าจั่วของโคปุระชั้นในนี้เป็นลายก้านขดคล้ายกับปั้นลมที่ปราสาทเขาพระ วิหารมาก เพียงแต่ที่ปราสาทบันทายสรีมีขนาดเล็กกว่า
หน้าบันของโคปุระชั้นใน
สลักเป็นภาพพระคชลักษณมี
ในภาพพระคชลักษณมีประทับอยู่ตรงกลางมีคชสารสองเชือกชูงวงประสานกันโดยรอบ
เป็นลวดลายพฤกษานานาพรรณ สลักได้คมชัดและดูอ่อนช้อย
ที่ทับหลังทำลวดลายพวงมาลัย
ลักษณะเด่นของศิลปะแบบบันทายสรีตรงกลางพวงมาลัยสลักให้แอ่นอ่อนลงมา
ไม่ทำเป็นแนวตรงๆ ดังศิลปะยุคอื่นๆ
เมื่อเข้าสู่โคปุระชั้นในจะพบว่าส่วนฐานของปราสาทประดิษฐานด้วยเทวาลัยอยู่
ตรงหน้า มีประติมากรรมลอยตัวรูปโคนนทิ
ด้านหลังของเทวาลัยมีปราสาทสามหลังอยู่บนฐานเดียวกัน
มีหอบรรณาลัย(ห้องสมุด)อยู่ทั้งซ้ายและขวา
ปราสาทบันทายสรีเป็นเทวสถานขนาดเล็ก
แต่มีความงามทางด้านลวดลายเป็นเลิศ
ศิลปะมีลักษณะพิเศษจนต้องจัดเป็นศิลปะสมัยหนึ่งโดยเฉพาะ
ศิลปะแบบบันทายสรีถูกจัดให้อยู่ในยุคราว พ.ศ. 1510-1550
ก่อสร้างด้วยหินทรายสีชมพู เนื้อละเอียด การสลักลวดลายดูอ่อนช้อย ลายคมชัด
ดูมีชีวิตชีวา จุด
เด่นของโคปุระ อยู่ที่หน้าบัน มีภาพสลักพระศิวนาฎราช
ภาพการร่ายรำของพระศิวะนับว่ามีบทบาทสำคัญในคติความเชื่อของผู้นับถือศาสนา
ฮินดู ลัทธิไศวนิกาย พระศิวะในภาพหนึ่งเศียร สิบกร พระเกศาทรงฏามกุฎ
ร่ายรำอยู่เหนือพวงพฤกษาการร่ายรำของพระศิว
ะเป็นที่เลื่องลือและยกย่องของเหล่าเทพทั้งมวลถึงความสวยงามน่ายำเกรง
นอกจากนี้
ผู้ที่นับถือศาสนาฮินดูยังเชื่อว่าจังหวะการรายรำของพระศิวะอาจบันดาลให้
เกิดผลดีและผลร้ายแก่โลกได้
ฉะนั้นจึงจำเป็นที่จะต้องอ้อนวอนให้พระองค์ฟ้อนรำในจังหวะที่พอดี
โลกจึงจะร่มเย็นเป็นสุข
หากพระองค์โกรธกริ้วด้วยการร่ายรำในจังหวะที่รุนแรงแล้วก็ย่อมจะนำมาซึ่งภัย
พิบัติแก่โลกนานัปการ
นางอัปสร ยืน
อยู่ในท่าที่ชวนพิศเอียงสะโพกเล็กน้อย ทรงผมเกล้าเรียบๆ
ประดับด้วยศิราภรณ์เล็กน้อย มีต่างหูประดับฝีมือประณีต
ตุ้มหูคล้ายพวงมาลัยยาวเสมอไหล่ เอียงคอเล็กน้อยมือจับจีบดอกบัว
ใส่กำไลทั้งมือและท้าว สวมผ้ามีกระเปาะจีบอยู่ด้านหน้า รอบๆ
สะโพกมีลายคล้ายดวงดอกไม้ ดูแล้วเป็นธรรมชาติมาก